เว็บไซต์กินพลังงานไฟฟ้าสูง ตัวเลขที่ชัดเจนคือ 416.2 TWh ต่อปี หากเปลี่ยนเป็นสัดส่วนแล้วนั่นคือ 2% ของปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกมาทั้งหมดทั่วโลก เป็นตัวเลขประมาณการณ์ที่เทียบเท่ากับปริมาณการปล่อยก็าซจากเครื่องอากาศยานเลยทีเดียว
นับเป็นการเขื่อมต่อที่ยากลำบาก ข้อเท็จจริงที่บางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเท่าไรนักเมื่อเข้าอ่านข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและไม่รู้ว่าตนเองกำลังปล่อยมลมิษสู่อากาศจากการเล่นอินเทอร์เน็ตของตนเอง แต่กระนั้น นั่นก็ยังลอยอยู่ในก้อนอากาศ (cloud) อยู่แล้วใช่หรือไม่ แต่ความจริงเบื้องหลังนี้ค่อนข้างซับซ้อนอยู่พอสมควร
Carbon footprint ของกิจกรรมแต่ละกิจกรรมที่เราทำบนโลกออนไลน์นั้นเป็นแค่ร่องรอยเล็กน้อย แต่เมื่อดูถึงประชากรครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้ (4.9 พันล้านคน) ที่กำลังใช้งานอินเทอร์เน็ต เมื่อรวมกันแล้ว ปริมาณที่ว่านี้นับว่ายิ่งใหญ่มหาศาล
การคำนวณปริมาณที่แท้จริงของ carbon ที่ปล่อยออกมาต่อการคลิกหนึ่งครั้งนั้นแปรผันกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่นอุปกรณ์ที่คุณกำลังใช้, ศูนย์ข้อมูล Data Center ที่คุณกำลังเข้าถึงอยู่, โครงสร้างของเว็บไซต์ที่คุณกำลังเข้าใช้งาน, และที่สำคัญ ที่สถานที่ที่พลังงานไฟฟ้าจ่ายให้แก่เว็บไซต์นั้นมาจากแหล่งใด
เราสามารถสรุปย่อด้วยการพูดสั้นๆ ได้ว่าเว็บไซต์กินพลังงานได้ด้วยกัน 3 วิธี:
ใน 3 ด้านต่อไปนี้ เราสามารถช่วยลดอัตราการบริโภคพลังงานจากพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์ของเราได้:
เพื่อให้ช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ให้ก้าวสู่ความเป็นองค์กรที่เติบโตแบบยั่งยืนได้ PALO IT ได้พัฒนาเครื่องมือของตนเองเพื่อวัดค่า carbon footprint ของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลประเภทต่างๆ ได้ เราคือผู้บุกเบิกในหัวเรื่องของการลดปริมาณการใช้พลังงานของเว็บไซต์ลง แต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปทีละก้าวไม่ใช่แค่คุยกันไปเรื่อยๆ แล้วจบกับแล้วเริ่มใหม่
ด้วยประการนี้ เราได้ตัดสินใจที่จะทำ self-test กับเว็บไซต์ของเราเอง สิ่งที่เราค้นพบนั้นก็คือปริมาณการถ่ายโอน data transfer นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งทำให้น่าตกใจอยู่พอสมควร
ด้วยการประเมินต่อยอดกันต่อ เราได้วัดและเข้าใจว่ารูปบางรูปนั้นมีขนาดที่หนักเกินความจำเป็น ส่งผลให้การถ่ายโอน data transfer นั้นได้รับผลกระทบ รวมทั้งความเร็วในการโหลดด้วยเช่นกัน เหตุนี้ได้ก่อให้ user ใช้เวลามากขึ้นในกับจอภาพก่อนที่จะพบสิ่งที่ตนเองต้องการในเว็บนั้น ดังนั้นการบริโภคพลังงานที่สูงขึ้นจึงเกิดขึ้นตามมา
เมื่อวิเคราะห์ปัญหานี้ลึกลงไป เราพบว่ามีประเด็ยอีกมากมายที่เกี่ยวกับสื่อต่างๆ ที่นำเสนอบนเว็บไซต์ของเรา ได้แก่
เมื่อเราได้ระบุหาต้นตอของปัญหาได้แล้วว่าอะไรทำให้เกิดการบริโภคพลังงานในระดับสูง เราจึงได้ดำเนินการและเน้นที่เรื่องต่อไปนี้:
ในขั้นแรก เราได้สร้างและดาวน์โหลด csv file พร้อมด้วย image titles ทั้งหมด รวมทั้ง size และ url address ออกมา รูปภาพบางรูปนั้นมีขนาดใญ่มากจริงๆ ปัญหาก็คือมีรูปภาพที่มีขนาดใหญ่ทั้งหมด มากกว่า 200 รูป การดาวน์โหลดรูปและปรับแต่งคุณภาพให้กับรูปแต่ละรูปนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่มีปัญหามากและเป็นงานที่ไม่ก่อประสิทธิผลสักเท่าไรนัก ส่วนที่เหลือนอกจากนั้น รูปภาพส่วนใหญ่นั้นไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่อะไรมากนัก ดังนั้น เราจึงต้องสร้างจุดที่เราต้องเน้นที่การแก้ไขก่อนอย่างจริงจัง เราได้ตั้ง limit ไว้ที่ 5mb ในรูปแบบภาพประเภท WebP format
ด้วยความช่วยเหลือจากทีมงานแต่ละทีม เราสามารถที่จะออกแบบ custom script เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:
เราดำเนินการรันสคริปต์และหลังจากที่ได้ตรวจสอบขนาดของจอที่แตกต่างกันหลากหลายแล้ว ทุกอย่างก็ดูดีขึ้น แต่การมองแต่ตาเฉยๆ อาจหลอกลวงความจริงได้ เราต้องย้อนกลับไปยังเครื่องมือ sustainability tool ที่มีอยู่ของเราเพื่อตรวจสอบและเปรียบเทียบให้เกิดความแม่นยำในการประเมินสูงยิ่งขึ้น
There was indeed a considerable reduction in energy consumption, making the website 40% lighter, and saving 6Kgs of CO2 per each 1,000 visits. This translates to:
เรามีความสุขกับความสำเร็จนี้ แต่ ด้วยการทำงานแบบ manual work นั้นไม่ใช่หนทางที่เราต้องการ แทนที่จะต้องคอยค้นหาปัญหาเดิมๆ ย้อนกลับไปหลายเดือนหรือเป็ปนปีๆ เราได้เตรียมตัวพวกเราเองสำหรับอนาคต
เพื่อให้โซลูชั่นมีความยั่งยืนในระยะยาว เราได้สร้าง guideline สำหรับชุดของรูปภาพที่จะอัปโหลด โดยใช้ benchmark สำหรับทีมการตลาดของเราต่อไปในอนาคต
สนใจในเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่คุณน่าจะลองพิจารณาดู:
หลังจากนั้น เราก็จับตาเรื่องของการบริโภคพลังงานอย่างต่อเนื่องและรัดกุม ว่าเว็บไซต์ของเราใช้พลังงานต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เสมอ
ดูเหมือนว่าเป็นแค่เรื่องมันฝรั่งเล็กๆ แต่ในระยะยาวแล้ว การ optimize เว็บไซต์ด้วยแนวทางนี้มีความสำคัญต่อเป้าหมายทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งด้าน user experience และด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย ไม่มีใครชอบใช้งานเว็บไซต์ที่สะดุดและโหลดช้า และไม่มีใครเช่นกันที่อยากจะเป็นตัวการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่บรรยากาศของสังคมเรา ดังนั้น โซลูชั่นนี้จึงเป็นการแก้ไขที่แก้ครั้งเดียวและยิงนกได้สองตัวเลยทีเดียว
รูปแบบของการกระทำเช่นนี้คือ microcosm สำหรับโครงการต่างๆ ที่เราจัดการอยู่ที่ PALO IT ซึ่งก็คือการประสานรวมกันระหว่างการสร้างผลกำไร กับความยั่งยื่นในการเติบโต
คุณกำลังคิดถึงประสิทธิภาพของการใช้พลังงานในธุรกิจของคุณอยู่หรือไม่? หรืออย่างน้อยก็มองที่จุด ณ ที่คุณเป็นอยู่ในแง่ของกิจกรรมที่คุณปล่อย คาร์บอนออกสู่บรรยากาศบ้างหรือไม่? สามารถติดต่อทีมงานของเราได้เสมอ เราพร้อมที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดที่คุณได้ดำเนินมา และสิ่งที่เราตั้งใจจะบรรลุสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน?